พระไตรลักษณ์
จึงล้วนเป็น "อนิจจัง" มีความไม่เที่ยง มีอันต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอาการธรรมดา, ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาได้ตลอดไป, เพียงบางครั้งแลดูประหนึ่งว่า สามารถควบคุมบังคับได้ในบางเหตุปัจจัย จึงก่อให้เกิดมายาจิต เกิดความหลงผิด ไปหลงคิดหลงยึดว่าอยู่ภายใต้อํานาจของตัวของตน สามารถควบคุมบังคับได้ แต่แท้จริงแล้วไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างจริงแท้แน่นอน ต้องมีอันต้องแปรปรวนไปตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติเป็นที่สุด อย่างจริงแท้แน่นอน จึงเป็นทุกข์
จึงล้วนเป็น "ทุกขัง" มีความคงทนอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์เมื่อไปอยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นด้วยอุปาทาน ก็เนื่องเพราะเมื่อมีการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดย่อมแปรปรวนจนถึงภาวะสุดท้ายของการแปรปรวน คือ การดับไปเป็นที่สุด ดังนั้นสังขารทั้งหลายทั้งปวงจึงมีอาการเสื่อมไปเป็นอาการธรรมดา และถึงภาวะต้องดับไปเป็นที่สุด จึงเป็นทุกข์เพราะย่อมไม่สมดังหวังเป็นที่สุดอีกนั่นเอง
เพราะล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงล้วนเป็น "อนัตตา" ไม่มีตัวไม่มีตน ที่เป็นแก่น เป็นแกน เป็นสาระอย่างแท้จริงได้ตลอดไป กล่าวคือ ตัวตนทั้งหลายนั้น แม้แต่ตัวตนของตน ก็ไม่ใช่ของตัวของตนอย่างแท้จริง เป็นเพียงสมมติสัจจะ เพราะล้วนแต่เกิดมาจากเหตุปัจจัยต่างๆหลากหลาย มาประชุมปรุงแต่งเป็นปัจจัยแก่กันและกัน และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันชั่วขณะหรือในระยะเวลาหนึ่งๆ ดุจดั่งเงา(ขยายความ), ดังนั้นเมื่อเหตุปัจจัยต่างๆเหล่าใดเหล่านั้น ที่มาประชุมกันตัวใดตัวหนึ่งมีอันต้องแปรปรวน,เสื่อม หรือดับไป ผลหรือผลลัพธ์ที่เกิดแต่เหตุปัจจัยเหล่านั้น อันคือ สังขารทั้งปวงแม้
ตัวตน,ของตนทั้งหลายทั้งปวงที่ไปหลงยึดติด ยึดมั่น ถือมั่นพึงพอใจทั้งในสุขและในทุกข์ ก็ต้องแปรปรวน เสื่อม และดับไปตามเหตุปัจจัยเหล่านั้นเป็นที่สุด จึงมีสภาพที่ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้อย่างแท้จริง จึงต่างล้วนแต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ล้วนแต่เป็นไปตามธรรมคือเหตุปัจจัยล้วนสิ้น
ด้วยเหตุเพราะอนิจจังความไม่เที่ยง, ทุกขังความคงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมและดับไป, และอนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง, เหตุเพราะย่อมควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริงแน่นอน จึงจักเป็นทุกข์ถ้าไปอยากหรือไม่อยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นตามความพึงพอใจของตนด้วยกิเลส(อุปาทาน) เพราะย่อมไม่สมปรารถนาหรือผิดหวังเป็นที่สุดเมื่อเกิดอาการแปรปรวนหรือดับไปนั่นเอง แม้ในสุข ทั้งในทุกข์ก็ตามที กล่าวคือ ต้องเป็นทุกข์ในที่สุดอีกนั่นเอง
(ควบคุมบังคับไม่ได้ หมายถึง การควบคุมบังคับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน)
สังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงล้วนมีสภาวะดังนี้
ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ตั้งอยู่อย่างไม่เที่ยง แปรปรวนไปมา จนดับไปเป็นที่สุด ล้วนเป็นอนัตตา จึงล้วนไม่ใช่เราหรือของเรา อย่างแท้จริง
จึงล้วนเป็น "ทุกขัง" มีความคงทนอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์เมื่อไปอยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นด้วยอุปาทาน ก็เนื่องเพราะเมื่อมีการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดย่อมแปรปรวนจนถึงภาวะสุดท้ายของการแปรปรวน คือ การดับไปเป็นที่สุด ดังนั้นสังขารทั้งหลายทั้งปวงจึงมีอาการเสื่อมไปเป็นอาการธรรมดา และถึงภาวะต้องดับไปเป็นที่สุด จึงเป็นทุกข์เพราะย่อมไม่สมดังหวังเป็นที่สุดอีกนั่นเอง
เพราะล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงล้วนเป็น "อนัตตา" ไม่มีตัวไม่มีตน ที่เป็นแก่น เป็นแกน เป็นสาระอย่างแท้จริงได้ตลอดไป กล่าวคือ ตัวตนทั้งหลายนั้น แม้แต่ตัวตนของตน ก็ไม่ใช่ของตัวของตนอย่างแท้จริง เป็นเพียงสมมติสัจจะ เพราะล้วนแต่เกิดมาจากเหตุปัจจัยต่างๆหลากหลาย มาประชุมปรุงแต่งเป็นปัจจัยแก่กันและกัน และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันชั่วขณะหรือในระยะเวลาหนึ่งๆ ดุจดั่งเงา(ขยายความ), ดังนั้นเมื่อเหตุปัจจัยต่างๆเหล่าใดเหล่านั้น ที่มาประชุมกันตัวใดตัวหนึ่งมีอันต้องแปรปรวน,เสื่อม หรือดับไป ผลหรือผลลัพธ์ที่เกิดแต่เหตุปัจจัยเหล่านั้น อันคือ สังขารทั้งปวงแม้
ตัวตน,ของตนทั้งหลายทั้งปวงที่ไปหลงยึดติด ยึดมั่น ถือมั่นพึงพอใจทั้งในสุขและในทุกข์ ก็ต้องแปรปรวน เสื่อม และดับไปตามเหตุปัจจัยเหล่านั้นเป็นที่สุด จึงมีสภาพที่ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้อย่างแท้จริง จึงต่างล้วนแต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ล้วนแต่เป็นไปตามธรรมคือเหตุปัจจัยล้วนสิ้น
ด้วยเหตุเพราะอนิจจังความไม่เที่ยง, ทุกขังความคงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมและดับไป, และอนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง, เหตุเพราะย่อมควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริงแน่นอน จึงจักเป็นทุกข์ถ้าไปอยากหรือไม่อยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นตามความพึงพอใจของตนด้วยกิเลส(อุปาทาน) เพราะย่อมไม่สมปรารถนาหรือผิดหวังเป็นที่สุดเมื่อเกิดอาการแปรปรวนหรือดับไปนั่นเอง แม้ในสุข ทั้งในทุกข์ก็ตามที กล่าวคือ ต้องเป็นทุกข์ในที่สุดอีกนั่นเอง
(ควบคุมบังคับไม่ได้ หมายถึง การควบคุมบังคับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน)
สังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงล้วนมีสภาวะดังนี้
ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ตั้งอยู่อย่างไม่เที่ยง แปรปรวนไปมา จนดับไปเป็นที่สุด ล้วนเป็นอนัตตา จึงล้วนไม่ใช่เราหรือของเรา อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น