พระสุตตันตปิฏก


ประวัติพระมหากัสสปเถระ (๔)
เอตทัคคะผู้เป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้ถือธุดงค์
การโปรดพุทธบริษัท
โปรดหญิงถวายข้าวตอก
ความพิสดารว่า ครั้งหนึ่งท่านพระมหากัสสป อยู่ที่ปิปผลิคูหา เข้าฌานแล้ว ออกในวันที่ ๗ เมื่อออกจากฌานแล้วท่านได้พิจารณาด้วยทิพยจักษุเพื่อพิจารณาบุคคลที่ควรโปรด เห็นหญิงรักษานาข้าวสาลีคนหนึ่ง เด็ดรวงข้าวสาลีทำข้าวตอกอยู่ ท่านได้เห็นว่าหญิงนี้มีศรัทธาจึงได้เดินทางไปโปรด นางกุลธิดาพอเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส จึงได้นำข้าวตอกไปถวายพระเถระแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์*และได้ทำความปรารถนา ขอเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว
ในระหว่างนางเดินทางกลับนางได้นึกถึงทานที่ตนได้ถวายไปเกิดจิตเป็นกุศลอยู่ แต่บนทางที่นางเดินทางกลับนั้น นางได้ถูกงูพิษร้ายกัด และถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นเอง
ด้วยจิตอันเป็นกุศลก่อนที่จะตาย นางจึงได้ไปเกิดในวิมานทอง ในภพดาวดึงส์ ประดับเครื่องอลังการ แวดล้อมด้วยนางอัปสรตั้งพัน ที่ประตูวิมานอันประดับด้วยขันทองคำ เต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำห้อยระย้าอยู่
นางเทพธิดานั้นต้องการจะทราบว่าตนทำกรรมเช่นไรจึงได้สมบัตินี้ เมื่อพิจารณาด้วยทิพยจักษุแล้วจึงได้รู้ว่า สมบัตินี้ได้มาเพราะผลแห่งข้าวตอกที่ถวายพระมหากัสสปเถระนางจึงคิดว่า สมบัติที่นางได้เช่นนี้เป็นเพราะได้กระทำกรรมไว้เพียงนิดหน่อย นางไม่ควรประมาท,ควรจะกระทำการปฏิบัติแก่พระพระมหาเถระนั้นเพื่อทำสมบัตินั้นให้ถาวร
นางจึงไปยังที่พักของพระมหาเถระ แล้วไปปัดกวาดบริเวณของพระเถระ แล้วตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้แต่เช้าตรู่.พระเถระเห็นเช่นนั้น สำคัญว่าภิกษุหนุ่มหรือสามเณรบางรูปทำให้ท่าน.ในวันรุ่งขึ้นนางก็ได้ทำเช่นเดียวกันอีก ฝ่ายพระเถระก็เข้าใจเช่นเดิม จนกระทั่งในวันที่ ๓ พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดของนางและเห็นรัศมีของนางฉายเข้าไปทางช่องลูกดาล จึงเปิดประตูออกมา ถามว่า “นั่นใคร ?”
นางเทพธิดาจึงตอบแล้วเล่าเรื่องความประสงค์ของตนให้พระเถระฟัง
พระเถระจึงห้ามมิให้นางกระทำต่อไป เพื่อมิให้.มีผู้กล่าวในอนาคตว่า มีนางเทพธิดามาทำวัตรปฏิบัติ เข้าไปตั้งน้ำฉันน้ำใช้ เพื่อพระมหากัสสปเถระ
นางเทพธิดาจึงอ้อนวอนในความประสงค์ของตนซ้ำแล้วซ้ำอีก
พระเถระเห็นว่านางเทวธิดาดื้อดึงไม่ยอมฟังถ้อยคำ จึงปรบมือขึ้น
ด้วยเสียงปรบมือขับไล่ของพระมหาเถระดังกล่าว นางเทพธิดาไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้ จึงเหาะขึ้นในอากาศ ยืนประนมมือร้องไห้ คร่ำครวญอยู่
พระศาสดา ประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงสดับเสียงนางเทวธิดานั้นร้องไห้ จึงทรงแผ่พระรัศมีดุจประทับนั่งตรัสอยู่ในที่หน้านางเทวธิดา ตรัสว่า
“เทวธิดา การทำความสังวร (ในสมณจริยา) เป็นหน้าที่ของกัสสปผู้บุตรของเรา, แต่การกำหนดว่า ‘นี้เป็นประโยชน์ของเรา แล้วมุ่งกระทำแต่บุญ ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ที่ต้องการบุญ, เพราะว่าการทำบุญทำให้เกิดสุขแต่อย่างเดียว ทั้งในภพนี้ ทั้งในภพหน้า” ดังนี้
ในกาลจบเทศนาของพระพุทธองค์ นางเทพธิดานั้น จึงได้บรรลุโสดาปัตติผล
โปรดท้าวสักกเทวราช
นางอัปสรอยากทำบุญแต่ไม่สมหวัง
วันหนึ่ง พระมหากัสสปเถระได้เข้านิโรธสมาบัติ เป็นเวลา ๗ วัน เมื่อท่านออกจากสมาบัติแล้ว จึงดำริที่จะออกเที่ยวบิณฑบาต ตามลำดับตรอก ในกรุงราชคฤห์.เพื่อโปรดคนยากไร้ ด้วยเหตุว่าการถวายทานแด่พระภิกษุที่ออกจากสมาบัตินั้นจะได้รับผลบุญทันตาเห็น ในสมัยนั้น นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ผู้เป็นบริจาริกา ของพระอินทร์ เกิดความปรารถนาที่จะได้บุญเช่นนั้น จึงตระเตรียมบิณฑบาต ๕๐๐ ที่ แล้วถือมายืนอยู่ในระหว่างทาง กล่าวนิมนต์ท่านพระมหากัสสปเถระ พระเถระได้ปฏิเสธโดยกล่าวว่าท่านประสงค์จะสงเคราะห์แก่คนเข็ญใจ
เหล่านางเทพธิดาจึงได้อ้อนวอนอีก พระเถระเห็นว่านางเทพธิดาดื้อดึงจึงดีดนิ้ว ไล่นางเทพธิดาเหล่านั้นใหไปเสีย นางเทพธิดาเหล่านั้นเหล่านั้น เมื่อพระเถระดีดนิ้วไล่ก็ไม่อาจอยู่ได้ จึงเหาะกลับไปยังเทวโลกตามเดิม ท้าวสักกะจึงตรัสถาม นางเทพธิดาก็เล่าเนื้อความให้แก่ท้าวสักกะฟัง
ท้าวสักกะแปลงตัวทำบุญแก่พระเถระ
ท้าวสักกะได้ฟังดังนั้นก็มีประสงค์จะถวายบิณฑบาตแด่พระเถระด้วยพระองค์เอง จึงแปลงเป็นคนแก่ ฟันหัก ผมหงอก หลังโกง เป็น ช่างหูกผู้เฒ่า และทรงให้นางสุชาดาผู้เทพธิดา แปลงร่างเป็นหญิงแก่ เช่นเดียวกัน แล้วทรงนิรมิตถนนช่างหูกขึ้นสายหนึ่ง แล้วท้าวสักกกะก็ประทับขึงหูกอยู่
ฝ่ายพระเถระ เดินบ่ายหน้าเข้าเมือง ด้วยปรารถนาจะทำความสงเคราะห์พวกเข็ญใจ เห็นถนนสายนั้น นอกเมืองท่านก็ได้เห็นคนชรา ๒ คน ซึ่ง่ก็คือท้าวสักกะแปลงร่างกำลังขึงหูก นางสุชาดากำลังกรอหลอดด้าย พระเถระคิดว่า ผู้ชราสองคนนี้ แม้ในเวลาแก่เฒ่าก็ยังต้องทำงาน ในเมืองนี้เห็นจะหาผู้ที่เข็ญใจกว่าสองคนนี้คงจะไม่มี เราจักรับบิณฑบาตที่สองคนนี้ถวายแล้ว ทำความสงเคราะห์แก่คนสองคนนี้.ท่านคิดดังนั้นแล้วจึงบ่ายหน้าตรงไปยังเรือนของคนทั้งสองนั้นแล
ท้าวสักกะ ทอดพระเนตรเห็นพระเถระเดินมา จึงตรัสอุบายกับนางสุชาดาว่า “พระเถระเดินมาทางนี้ เธอจงนั่งทำเป็นเหมือนไม่เห็นท่านเสีย ฉันจะลวงท่านสักครู่หนึ่ง แล้วจึงถวายบิณฑบาต.ครั้นพระเถระได้มายืนอยู่ที่ประตูเรือนของสองตายายแล้ว สองผัวเมียนั้นก็ทำเป็นเหมือนไม่เห็น ทำแต่การงานของตนไปเรื่อย เมื่อรอคอยอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ท้าวสักกะจึงตรัสว่า “ที่ประตูเรือนดูเหมือนมีพระเถระยืนอยู่รูปหนึ่ง เธอไปดูซิ” นางสุชาดาตอบว่า “ท่านจงไปตรวจดูเถอะ” ท้าวเธอจึงเสด็จออกจากเรือนแล้ว ทรงไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอาพระหัตถ์ทั้งสองยันพระชานุ แล้วถอนใจ เสด็จลุกขึ้น ย่อพระองค์ลงหน่อยหนึ่ง ตรัสว่า “พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเถระรูปไหนหนอ? แล้วตรัสว่า “ตาของผม มองไม่ค่อยเห็น” แล้ว ทรงเอามือป้องหน้าแหงนดูแล้ว ตรัสว่า “โอ ตายจริง! เป็นพระมหากัสสปเถระของเรา นาน ๆ จึงมายังประตูกระท่อมของเรา มีอะไรอยู่ ในเรือนบ้างไหม?” นางสุชาดาทำเป็นกุลีกุจออยู่หน่อยหนึ่งแล้วตอบว่า “มีจ๊ะ” ท้าวสักกะจึงตรัสว่า “ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้า โปรดทำความสงเคราะห์ แก่กระผมทั้งสองเถิด” แล้วก็ทรงรับบาตรไว้ พระเถระคิดว่า “แม้อาหารที่สองผัวเมียนั่นถวาย จะเป็นน้ำผักดองหรือรำกำมือหนึ่งก็ตามที.เราก็จะทำความสงเคราะห์แก่สองผัวเมียนั้น” ดังนี้แล้ว จึงได้ให้บาตรไป ท้าวสักกะนั้น เสด็จเข้าไปภายในเรือนแล้ว ทรงคดข้าวสุกออกจากหม้อ ใส่จนเต็มบาตรแล้ว มอบถวายในมือพระเถระ บิณฑบาตนั้นได้มีอาหารมากมายส่งกลิ่นหอมตลบทั่วกรุงราชคฤห์แล้ว
ท้าวสักกะตรัสบอกความจริงแก่พระเถระ
พระเถระเห็นดังนั้นก็คิดว่า “ภัตตาหารที่เฒ่าเข็ญใจนี้ถวายแก่เรา มีประมาณราวกับโภชนะของท้าวสักกะ เฒ่านี้เป็นใครกัน?” พระเถระพิจารณาด้วยญาณแล้วจึงทราบว่าเฒ่านั้นก็คือท้าวสักกะนั่นเอง ท่านจึงกล่าวว่า “พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เหมือนแย่งสมบัติจากคนเข็ญใจ จัดว่าท่านได้ทำกรรมหนักแล้ว ท่านเองก็ทราบว่าใคร ๆ ก็ตาม ที่เป็นคนเข็ญใจ ถวายทานแก่อาตมภาพในวันนี้ เขาได้ตำแหน่งเสนาบดี หรือตำแหน่งเศรษฐี”
ท้าวสักกะจึงตอบว่า ผู้ที่เข็ญใจไปกว่ากระผม ไม่มีเลย ขอรับ
พระเถระจึงถามว่า พระองค์เสวยสิริราชสมบัติในเทวโลก จะจัดว่าเป็นคน เข็ญใจ ได้อย่างไร?
ท้าวสักกะตอบว่า อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าว่า ก็ถูกละ ขอรับ แต่ในสวรรค์ยังมีเทพบุตรผู้มีศักดิ์เสมอกัน ๓ องค์เหล่านี้ คือ จูฬรถเทพบุตร มหารถเทพบุตร อเนกวัณณเทพ ทั้ง ๓ องค์นี้ มีเดชมากกว่ากระผม เมื่อเทพบุตรทั้งสามนั้น พาพวกบริจาริกาออกมานอกวิมานเพื่อเล่นนักขัตฤกษ์’ กระผมก็ต้องหนีเข้าตำหนัก เพราะสู้รัศมีของเทพบุตรทั้งสามนั้นมิได้ ใครจะเข็ญใจกว่ากระผมเล่า? ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถิด ตั้งแต่นี้ต่อไป พระองค์อย่าได้ลวงถวายทานแก่อาตมภาพอย่างนี้อีก
ท้าวสักกะถามว่า เมื่อกระผมลวงถวายทานแก่ท่านเช่นนี้ กุศลกรรมจะมีแก่กระผมหรือ ไม่มีขอรับ?
พระเถระตอบว่า มี พระองค์
ท้าวสักกะตอบว่า เมื่อพวกกระผมปรารถนาบุญ การทำกุศลกรรมก็จัดเป็นหน้าที่ของกระผม
ท้าวเธอตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงไหว้พระเถระ พานางสุชาดา ทรงทำปทักษิณพระเถระแล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงเปล่งอุทานว่า
“โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในทานพระกัสสป”
โปรดภรรยานายกาฬวฬิยะ
ครั้งหนึ่งในพระนครราชคฤห์นั้น มีคนเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อว่า กาฬวฬิยะ ในขณะที่ภรรยาของเขากำลังหุงข้าวยาคูกับผักดองอยู่นั้น พระมหากัสสปเถระก็ออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วพิจารณาเพื่อที่จะหาผู้ที่สมควรจะเคราะห์ พิจารณาแล้วเห็นภรรยาของนายกาฬวฬิยะเป็นผู้ที่สมควรจะสงเคราะห์ จึงได้ไปยืนที่ประตูบ้านเพื่อบิณฑบาต นางรับบาตรจากพระเถระมาแล้วใส่ข้าวยาคูทั้งหมดลงในบาตรนั้นแล้วถวายพระเถระ พระเถระไปยังพระวิหารแล้วน้อมถวายภัตตาหารนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาทรงรับเอาแต่พอสำหรับพระองค์.ด้วยเดชของพระพุทธองค์ข้าวยาคูที่เหลือก็เพียงพอสำหรับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป
พระมหากัสสปทูลถามวิบากของนายกาฬวฬิยะต่อพระศาสดา พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป เขาจักได้ฉัตรเศรษฐี นายกาฬวฬิยะได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้วไปบอกภรรยา.
ครั้งนั้น พระราชาเสด็จเลียบพระนครนอกเมือง ได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษนั่งอยู่บนที่สำหรับประหารชีวิตนอกพระนคร นักโทษนั้นเห็นพระราชา จึงร้องตะโกน ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้โปรดส่งอาหารที่พระองค์เสวยมาให้ข้าพระองค์ เถิดพระเจ้าข้า พระราชารัปว่าจะส่งมาให้
ครั้นตกเย็น ระหว่างพวกวิเสทเตรียมพระกระยาหารตอนเย็น พระราชาทรงระลึกสิ่งที่รับปากกับนักโทษนั้นขึ้นมาได้ จึงตรัสว่า พวกเจ้าจงหาคนที่อาสาจะนำอาหารนี้ไปให้นักโทษ ด้วยเหตุที่ระหว่างทางที่จะไปยังตะแลงแกงนั้นจะต้องผ่านที่อยู่ของยักษ์ ชื่อทีฆตาละ พวกราชบุรุษเอาห่อทรัพย์พันหนึ่งเที่ยว ป่าวร้อง หาผู้สามารถในพระนคร ในการป่าวร้องครั้งที่ ๓ ภรรยาของนายกาฬวฬิยะจึงอาสา เนื่องจากต้องการทรัพย์นั้น และได้รับเอาห่อทรัพย์พันหนึ่งไป แล้วนางจึงปลอมตัวเป็นชาย ผูกสอดอาวุธ ๕ ประการ ถือถาดอาหารออกจากพระนครไป
ระหว่างทางที่ผ่านที่อยู่ของยักษ์ ชื่อทีฆตาละที่สิงสถิตย์อยู่ที่ต้นตาลนอกพระนคร ยักษ์เห็นนางเดินผ่านโคนไม้ไปจึงกล่าวว่า “หยุด หยุด เจ้าจงมาเป็นอาหารของเรา”
นางจึงตอบว่า “เราไม่ได้เป็นอาหารของท่าน เราเป็นราชทูตแห่งพระราชา”
ยักษ์ถามว่า “เจ้าจะไปไหน ?”
นางตอบว่า “เราจะไปยังตะแลงแกงที่นักโทษรอประหารชีวิต”
ยักษ์ถามว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าสามารถนำข่าวของเราไปประกาศสักข่าวหนึ่งได้ไหม ?
นางตอบว่า “ได้สิ”
ยักษ์กล่าวว่า “เจ้าพึงประกาศดังนี้ว่า นางกาฬีธิดาของเจ้าสุมนเทพ ผู้เป็น ภริยาของทีฆตาลยักษ์คลอดบุตรเป็นชายแล้ว และที่โคนตาลต้นนี้ มีขุมทรัพย์อยู่ ๗ ขุม เจ้าจงเอาขุมทรัพย์นั้นไปเป็นของเจ้า
นางจึงได้ไปป่าวร้องว่า นางกาฬีธิดาของเจ้าสุมนเทพ ผู้เป็นภริยาของทีฆตาลยักษ์ คลอดบุตรเป็นชายแล้วดังที่รับปาก
ฝ่ายเจ้าสุมนเทพซึ่งนั่งอยู่ในยักขสมาคมได้ยินข่าวนั้น จึงกล่าวว่า มนุษย์คนหนึ่งนำข่าวอันน่ายินดีของพวกเรามาป่าวร้อง พวกเราจงไปนำเขามา
เมื่อนางได้แจ้งข่าวนั้นแก่เจ้าสุมนเทพ เจ้าสุมนเทพได้ยินดังนั้นแล้ว ก็ยินดีจึงกล่าวว่า ขุมทรัพย์ในรัศมีปริมณฑลที่ร่มเงาของต้นไม้นี้แผ่ไปถึง เราขอมอบให้แก่เจ้า
นางจึงกลับไปกราบทูลพระราชาให้ขนทรัพย์นั้นมา
พระราชาตรัสถามว่า มีผู้อื่นในพระนครใครบ้างที่มีทรัพย์มากเท่านี้ ก็ปรากฎว่าไม่มีผู้ใดในพระนครที่จะมีทรัพย์มากเท่ากับทรัพย์ที่ขุดมานั้น พระราชาจึงทรงตั้งสามีของนางให้เป็นธนเศรษฐีในพระนครนั้น
พระมหากัสสปกับเด็ก ๕๐๐ คน
วันหนึ่งพระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวารพร้อมด้วยพระอสีติมหาเถระ เสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นเด็ก ๕๐๐ คน ยกกระเช้าขนมออกจากเมืองแล้วไปสวนในวันมหรสพวันหนึ่ง เด็กเหล่านั้นก็เพียงแต่ถวายบังคมพระศาสดาแล้วก็หลีกไป, ไม่ปวารณาเพื่อถวายขนมแก่ภิกษุแม้สักรูปหนึ่ง
พระศาสดาตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ในกาลที่ภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจักฉันขนมไหม ?”
ภิกษุทูลถามว่า ขนมที่ไหน ? พระเจ้าข้า
พระศาสดา เธอทั้งหลายไม่เห็นพวกเด็กถือกระเช้าขนมเดินผ่านไปแล้วดอกหรือ ?
ภิกษุ พวกเด็กนั้น ไม่ถวายขนมแก่ใครๆ พระเจ้าข้า
พระศาสดา ภิกษุทั้งหลาย เด็กเหล่านั้นไม่นิมนต์เราหรือพวกเธอด้วยขนมก็จริง ถึงกระนั้น ภิกษุผู้เป็นเจ้าของขนม ก็กำลังมาข้างหลัง ฉันขนมเสียก่อนแล้วไป จึงควร
ตามธรรมดา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีความริษยาในบุคคลใด ๆ เลย; เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสคำนี้แล้วจึงพาภิกษุสงฆ์ไปประทับนั่งใต้ร่มเงาโคนไม้ต้นหนึ่ง
ต่อมาพวกเด็กเมื่อเห็นพระมหากัสสปเถระเดินมาข้างหลัง ก็บังเกิดความรักและเลื่อมใสพระมหาเถระขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมจึงวางกระเช้า ไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วยกขนมพร้อมทั้งกระเช้าถวายแก่พระเถระ
พระเถระจึงกล่าวแก่เด็กเหล่านั้นว่า “นั่น พระศาสดาพาพระภิกษุสงฆ์ไปประทับนั่งแล้วที่โคนไม้, พวกเธอจงถือไทยธรรมไปแบ่งส่วนถวายภิกษุสงฆ์เถิด
พวกเด็กจึงกลับไปพร้อมกับพระเถระ ถวายขนมพระบรมศาสดาและหมู่ภิกษุสงฆ์ แล้วได้ถวายน้ำในเวลาฉันเสร็จ
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า “พวกเด็กถวายภิกษาเพราะเห็นแก่หน้าพระมหากัสสปเถระ ในครั้งแรกไม่ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระมหาเถระอื่นทั้งหลายด้วยขนม ต่อเมื่อเห็นพระมหากัสสปเถระแล้ว จึงถือเอาขนมพร้อมด้วยกระเช้านั่นมาถวาย”
พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เช่นกับมหากัสสปผู้บุตรของเรา ย่อมเป็นที่รักของเหล่าเทวดาและมนุษย์ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมทำบูชาด้วยปัจจัย ๔ แก่เธอโดยแท้” ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถาแสดงแก่เหล่าเด็กทั้ง ๕๐๐ นั้น
ในกาลจบเทศนา เด็กเหล่านั้นทั้งหมด ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ดังนี้
อาจามทายิกาวิมาน
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันจทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีครอบครัวหนึ่งเป็นอหิวาตกโรค คนในครอบครัวนั้นตายกันหมด เหลือหญิงคนหนึ่ง หญิงนั้นทิ้งเรือนหนีไป หมดที่พึ่ง ไปเรือนของคนอื่น อาศัยอยู่ด้านหลังเรือนของเขา.พวกผู้คนในเรือนนั้นคิดสงสาร ให้ข้าวต้มข้าวสวยและข้าวตังเป็นต้น ที่เหลือในหม้อข้าวเป็นต้นแก่นาง นางเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยข้าวตังของผู้คน เหล่านั้น
วันนั้นท่านพระมหากัสสปะ เข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน เมื่อออกจากนิโรธนั้นแล้ว พิจารณาหาผู้ที่สมควรจะอนุเคราะห์ ได้เห็นหญิงนั้นถึงวาระใกล้ตาย และเห็นกรรมในอดีตของนางจะนำไปสู่นรก แต่ก็ยังเห็นโอกาสที่นางจะได้ทำบุญ ท่านได้พิจารณาว่า เมื่อเราไปยังบ้านนั้น หญิงคนนี้จักถวายข้าวตังที่ตนที่ตนได้มา เพราะบุญนั้นนางจะได้ไปเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี
ดังนั้นในเวลาเช้า ท่านจึงเดินมุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของนาง แล้วจึงยืนอยู่ข้างหน้าของหญิงนั้น
นางเห็นพระเถระแล้ว คิดว่าพระเถระนี้เป็นพระเถระผู้ใหญ่ ในที่นี้ก็ไม่มีของกิน หรือของเคี้ยว ซึ่งควรที่จะถวายแก่พระเถระนี้ จะมีก็เพียง น้ำข้าวข้าวตังอันจืดเย็นไม่มีรส เต็มไปด้วยหญ้าและผงธุลี ซึ่งอยู่ในภาชนะสกปรกนี้ เราไม่อาจจะถวายแก่พระเถระเช่นนี้ได้
นางจึงกล่าวว่า ขอท่านจงโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด
พระเถระยืนนิ่งไม่ขยับเท้าแม้แต่ข้างเดียว
ผู้คนอยู่ในเรือนนำภิกขาเข้าไปถวาย พระเถระก็ไม่รับ
หญิงเข็ญใจนั้น รู้ว่าพระเถระประสงค์จะรับเฉพาะของเรา จึงมาในที่นี้ก็เพื่ออนุเคราะห์เรา เท่านั้น มีใจเลื่อมใส เกิดความเอื้อเฟื้อ ก็เกลี่ยข้าวตังนั้นลงในบาตรของพระเถระ
พระเถระแสดงอาการว่าจะฉันเพื่อเพิ่มความเลื่อมใสของนางให้มากขึ้น ผู้คนปูอาสนะแล้ว พระเถระก็นั่งบนอาสนะนั้นฉันข้าวตังนั้น ดื่มน้ำแล้วชักมืออกจากบาตร ทำอนุโมทนาแก่หญิงเข็ญใจ นั้นแล้วก็ไป
ในคืนนั้นนางก็สิ้นชีวิต ก็ไปบังเกิดร่วมกับเหล่าเทพในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
 
Thailand Web Stat

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น